วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วิธีดูแลรักษาสีรถและสภาพรถ หรือ วิธีการล้างรถไห้ถูกวิธี


บทความนี้จะเกี่ยวกับการดูแลสีรถยนต์ โดยสามารถทำได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ง่ายจริงๆ ใช้เวลาใน
ช่วงวันหยุดทำบ้างก็ดีนะคับ เพื่อสีรถที่สดใส จะไม่ขอพูดอะไรมากตามไปดูกันเลย
ก่อนอื่นท่านผู้อ่านที่มีรถยนต์นั้น บางท่านล้างรถด้วยตัวเองใช่ไหมคับ แต่วิธีล้างนั้นจะผิดหรือถูก
เรามาดูกันคับ
การล้างรถที่ถูกวิธี
1. ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด
2. ควรล้างด้วยน้ำสะอาดหรือล้างด้วยแชมพู
3. ควรล้างรถจากส่วนบน ลงล่าง โดยการใช้ผ้านุ่ม เช่นผ้าสำลี ซึ่งควรคะนำมาแช่น้ำไว้สัก   3
คืน และถ้าใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มได้ยิ่งดีค่ะ และการล้างรถนั้น ขอแนะนำให้แบ่งผ้าออกเป็น 2 ผืน
     คำแนะนำ.. (อย่าใช้ฟองน้ำล้างรถ เพราะอาจจะมีเม็ดกรวดทรายฝังตัวอยู่ในรูฟองน้ำ)                                                                          
ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง กระจกรถทั้งหมด
ผืนที่สอง ใช้สำหรับล้างส่วนด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจกด้านล่างลงมา ทั้งหมด
เหตุผลที่ต้องแยกเนื่องจาก โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านส่วนล่างของรถมี
ฝุ่นมาก
4. ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด
5. อย่าล้างรถกลางแดด เพราะแดด จะทำให้น้ำบนรถแห้งเร็ว และเกิดคราบน้ำขึ้น
การล้างรถโดยใช้ถังใส่น้ำล้าง การล้างรถแบบนี้ ควรจะเปลี่ยนน้ำบ่อย ๆ มิฉะนั้น สิ่งสกปรก
ที่ผสมอยู่ในน้ำ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขีดข่วยบนรถได้ (วิธีการนี้ ไม่แนะนำให้ทำ …. แต่ถ้าจำเป็นก็
ต้องหมั่นซักผ้าและเปลี่ยนน้ำ)
ข้อควรระวังในการล้างรถ
1. ไม่ควรล้างรถตอนเย็น ด้วยตนเอง เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้อาจทำให้เกิดสนิม ในบางจุดที่
เราเช็ดไม่แห้ง หรือไม่สามารถเช็ดแห้งได้ ยกเว้นแต่จะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้งหรือจะขับรถต่อไป
เป็นระยะทางไกล ลมจะช่วยให้ทุกซอยทุกมุม แห้งสนิท
2. ไม่ควรล้างรถกลางแดด เนื่องจากแสงแดด จะทำให้น้ำแห้งเร็ว และทำให้เกิดคราบน้ำบนสีรถ
ขึ้น
การเช็ดรถที่ถูกวิธี
1. ควรใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้าชามัวร์ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้ จะไม่ทำให้รถเป็นรอย
แต่ถ้าผ้าชามัวร์แท้ ควรจะระวัง เวลาที่ผ้าชามัวร์แห้งสนิท จะแข็งตัว และเมื่อจะนำมาเช็ดรถ ก็ควร
จะนำผ้าชามัวร์นั้น จุ่มน้ำให้เปียกจริง ๆ ทั้งผืน ก่อนเช็ดรถ เพราะถ้าไม่เปียกทั้งผืน แสดงว่ายังมี
ส่วนที่ยังไม่โดนน้ำที่ยังแข็งอยุ่ ซึ่งอาจทำให้สีรถเป็นรอยได้ง่าย
2. การเช็ดรถนั้น ควรเช็ดตั้งแต่แผงบนก่อน เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมดก่อน ไล่ลงมาด้าน
ล่างของรถ จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อไงค่ะ
3. ส่วนของรถดังต่อไปนี้ไม่ควรหลีกเลี่ยง  ควรเช็ดให้แห้งที่สุด
3.1 ด้านในขอบประตูทั้งหมด
3.2 ด้านในกระโปรงหลัง
3.3 ด้านในฝาถังน้ำมัน
3.4 กระจกหน้ารถ เพื่อให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ ชัดเจน ไม่มีอะไรมาบดบัง หรือระคายเคืองสายตา
3.5 ล้อแม็กซ์  ควรจะเช็ด ด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเป็นคราบน้ำน่าเกลียด และถ้าปล่อยไว้นานๆ
คราบน้ำเหล่านั้น จะเช็ดออกยาก จนถึงเช็ดไม่ออก
กว่าจะล้างกว่าจะเช็ดจนเสร็จเล่นเอาเหนื่อยเลย แต่เอ๊  ขาดอะไรไปนะ เอ่อนึกออกแล้ว เคลือบ
สีให้รถไง แต่ว่าวิธีการทำอย่างไรล่ะ ตามไปดูกันต่อค่ะ



การดูแลรักษาสีรถยนต์ โดยวิธีการเคลือบสีรถด้วยตนเอง
1. ล้างรถให้สะอาด ตามวิธีการข้างต้น
2. เช็ดรถให้น้ำหมาด ๆ
3. เทน้ำยาเคลือบสี ลงบนผ้านุ่ม ขอเน้นว่าผ้านุ่มนะค่ะ ที่มีน้ำหมาด ๆ
4. เช็ดบนตัวรถ โดยวนเป็นก้นหอย ให้ทั่วบริเวณตัวรถ
5. ทิ้งน้ำยาไว้ตามระยะเวลาที่รถบุไว้ข้างกระป๋อง เพราะแต่ละยี่ห้อไม่เหมือนกันค่ะ แต่บางยี่ห้อ
เคลือบเสร็จเช็ดออกเลยก็มี เพราะถ้าปล่อยไว้นาน จะทำให้หนืดเช็ดยากนะค่ะ
6. ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ หรือผ้านุ่ม เช็ดน้ำยาออกให้หมดทั่วตัวรถ
โดยน้ำยาเคลือบสีจะมีทั้งแบบเป็นน้ำแล้วเช็ด กับเป็นครีมขี้ผึ้ง โดยทั้ง 2 อย่างสามารถหาซื้อได้
ตามร้านขายอุปกรณ์ทำความสะอาดรถยนต์ทั่วไปค่ะ
ความแตกต่างในการขัดเคลือบสี และการเคลือบสีเพียงอย่างเดียว
การขัดและเคลือบสี     คือการที่เรานำสิ่งสกปรกฝังแน่นที่อยู่บนหน้าแลคเกอร์ของสีรถออก
ไป คือทำให้รถมันมีประกายดัวยตัวของแลคเกอร์รถที่แท้จริง เมื่อรถไม่มีคราบแล้ว เราก็ปกป้อง
ความใส สวยของผิวสีรถนั้น ด้วยการเคลือบสี ทับลงไป ซึ่งจะทำให้รถมีความเงางาม ใส ไม่มี
คราบสกปรกฝังอยู่แต่อย่างใด รถจะสวย ใสอยู่ตลอดเวลา ผิวสีรถจะลื่น น้ำไม่เกาะและฝุ่นไม่เกาะ
รถไม่หมอง              
นอกจากจะให้ความสวย ใส เงา งามของรถ แล้ว ยังให้การปกป้องผิวสีรถจากสิ่งสกปรกต่าง ๆ
แสงแดด ยางมะตอย ริ้วรอย มูลนก ยางไม้ และมลภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้สีรถเสียหายได้อีกด้วยค่ะ



การเคลือบสีรถ..             
    เป็นการปกป้องสีรถเช่นกัน  แต่สีรถอาจจะดูหมอง ๆ เนื่องจากการเคลือบสีอย่างเดียวบ่อย ๆ
นั้น ถ้าบนผิวสีรถ มีคราบสกปรกฝังอยู่ ก็จะทำให้ผิวสีรถไม่ใส แล้วถ้าเคลือบทับไปบ่อย ๆ
ก็จะทำให้คราบสกปรกเหล่านั้น ฝังตัวแน่นขึ้นด้วย แล้วถ้าแย่ไปกว่านั้น ถ้ามีละอองสี ยางมะตอย
ฝังหรือคราบมลภาวะที่สามารถทำลายสีรถติดอยู่โดยที่เราไม่รู้ และไม่ได้ขจัดมันออกไปก่อน
แล้วเคลือบทับลงไป จะทำให้สิ่งเหล่านี้   ไปกัดกิน ผิวสีรถได้ และทำให้รถดูหมองแต่ในขณะเดียว
กันก็ไเป็นการป้องกันผิวสีรถเช่นกันค่ะ
       ว้าวๆ เสร็จแล้ว รถเงาวิ๊งๆเลย เห็นไหมค่ะ เพียงไม่กี่วิธีง่ายๆ รถเราก็เงาวับเหมือนออกมา
ใหม่ๆเลยและควรหาที่จอดในร่มด้วยนะ เพราะอะไรนะหรอ เพราะตอนนี้ เข้าหน้าหนาว แล้ว..
ท่านใด ที่ต้องจอดรถตากน้ำค้าง ไม่มีร่ม ละก็ ทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัด ระวังหน่อยนะค่ะ
เพราะความชื้นมาก ๆ จะทำให้สีรถอาจจะด้านหรือซีดได้ก่อนกำหนด นะ
สิ่งที่ทำได้ ..
1. หาที่กำบังให้กับรถสักหน่อย อย่าจอดใต้ต้นไม้นะครับ เพราะว่าน้ำที่ค้างบนใบไม้ จะตกมาเยอะ
2. เคลือบสีเพิ่มเติม ด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ความชื้นทำลายแผ่นแลคเกอร์ของรถ
3. พยายามล้างรถบ้าง .. อย่าให้มีคราบน้ำค้าง ซึ่งมีมลภาวะปลอมปนอยู่ แล้วพอมันแห้ง มันก็
หมักหมมอยู่บนรถ.. แล้วมันจะกัดกิ

1 ความคิดเห็น: