วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การทำสีรถให้สวยงาม









นำมาฝากวิธีการทำสีมอเตอร์ไซค์เอง ด้วยสีกระป๋อง ! 

สิ่งที่ต้องเตรียมในการทำสีคือ 

1.สีกระป๋อง ใช้ยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่ แต่ผมใช้ ไพแลค 

1.1 สีรองพื้น ผมใช้ทั้งหมด 3 กระป๋อง 
1.2 สีเคลียร์ ผมใช้เป็นสีแดงแก้้ว จำนวน 5 กระป๋อง 
1.3 แลคเกอร์ อันนี้ขาดไม่ได้เลย ใช้ของไพแลค ครับ 3 กระป๋อง 

2.กระดาษทราย เบอร์ 160 , 320 , 600 , หรือ เบอร์ 1,000 

3.กระดาษหนังสือพิมพ์ [เอาไว้กันสีล้ำไปโดนจุดที่ไม่ต้องการให้โดน] 

4.กระดาษกาว 

5.คัตเตอร์ และ ไขควงปากแบน 

6.แฟ๊บ และ น้ำ 

7.ถุงมือผ้า [กันมือพองเวลาขัด] 

8.ยาโป๊วสี [อันนี้ผมไม่ได้ใช้ครับ เพราะไม่มีรอยบุบอะไร] 

9.ขาดไม่ได้เลย รถของเราไงครับ 555 
วิธีทำ 



1.ให้เราถอดชิ้นส่วนรถที่ต้องการพ่นออกมาให้หมดครับ 

2.นำชิ้นส่วนเหล่านั้นมา ลอกสติ๊กเกอร์ออก โดยใช้ไขควงปากแบนแงะเบาๆ 

หากอันไหนมันไม่ไหวจริงๆ กระแทกในมุมเฉียงถากมันออกมาเลยครับไม่ต้องกลัว 

3.นำกะละมังไปใส่น้ำ แล้ว ผสมแฟ๊บ และนำชิ้นส่วนที่ลอกสติ๊กเกอร์ออกแล้วมาในขั้นตอนต่อไป 

4.ใส่ถุงมือ และ นำกระดาษทรายเบอร์ 160 ขัดน้ำ โดยเอากระดาษทรายจุ่มน้ำแฟ๊บ แล้วนำมาขัดชิ้นส่วนรถ 

หรือจะนำชิ้นส่วนลงไปแช่ในกะละมังแล้วขัดในนั้นเลยก็ได้ครับ เอาให้เรียบ เอามือลูบๆดู 

5.เมื่อขัดเบอร์ 160 เสร็จแล้ว ให้เรานำกระดาษทรายเบอร์ 320 มาขัดซ้ำอีกทีเอาให้เนียน อย่าให้มีรอยนูน 

ขั้นตอนการขัดเหล่านี้ ต้องใช้เวลานานหน่อยครับ อดทน อย่ารีบร้อน เด๋วงานออกมาไม่เนียน สีจะเนียนไม่เนียน 

การขัดสำคัญครับ 

6.ขัดเสร็จแล้ว นำชิ้นส่วนที่ขัดแล้วนั้น ไปล้างน้ำเปล่าให้สะอาด เอาผ้าเช็ด แล้วเอามือลูบเช๊คดูว่าเรียบทั่วแล้วชัวร์ๆ 

หากยังไม่เรียบ ให้ไปขัดใหม่ครับ เอาให้เรียบ 

7.หลังจากชิ้นส่วนแห้งแล้ว เอาหนังสือพิมพ์ปูเลยครับ แล้วนอน 555 ไม่ใช่ แล้วเอาของที่จะพ่น มาวางไว้ 

8.นำสีรองพื้นที่ซื้อมาแล้วน่ะ มาพ่นให้ทั่วก่อน 1 รอบ แล้วทิ้งไว้ 10 นาที แล้วพ่นทับให้เนียนไปอีก สักรอบ สองรอบ 

เวลาพ่นสี ต้องให้หัวเสปรย์ห่างจากของที่พ่น 1 ฟุต และ ควรพ่นกลางแดดจัดๆ จะดีมาก ถึงมากที่สุด 

9.หลังจากเราลองพื้นเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ เรามาสาดสีจริงกันครับ เหมือนเดิมครับพ่นกลางแดดจัดๆ 

พ่นไปเลยไม่ต้องกลัว อย่าให้เบิ้มเป็นพอ สาดให้เต็มที่ ก่อน 1 รอบ แล้วตากแดดทิ้งไว้ 10 นาที 

จากนั้น ก็สาดทับอีก 2-3 รอบ จนพอใจ สาดไปเลยครับ เอาให้สีออกมาหนาเงา แต่ต้องไม่เยิ้มเน้นอีกที 

แล้วตากทิ้งข้ามคืนไว้สัก 1 คืนให้สีแห้งจริงๆ ครับ 

10.หลังจากที่นั่งๆนอนๆรอไปแล้ว 1 คืนเต็มๆ คงจะรู้สึกกระสัยอยากทำให้มันเสร็จๆไปแล้วใช่มั้ยล่ะครับ 

มาทีนี้มาขั้นตอนสำคัญ การพ่นแลคเกอร์ให้เงาแว๊ฟ แหงนหน้ามองท้องฟ้าให้ดีๆครับ ว่าแดดเปรี้ยงๆหรือป่าว 

ขั้นตอนนี้ต้องใช้แดดแรงจัดๆ จะดีมาก หลังจากแดดเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็จัดแจงดูลม ดูฝุ่น อย่าให้มีฝุ่น 

เศษกรวด เศษทรายปลิวมามากนัก เพราะเด๋วพ่นแลคแล้วจะไม่เนียนเอา พอทุกอย่างลงตัวแล้ว ก็สาดแลคเกอร์ไปเลยครับ 

1 รอบ ดูให้ทั่ว ว่าพ่นทั่วทุกอนู แล้วจริงๆ แล้วตากแดดจัดๆ ไว้ 15 นาที แล้ว ทำแบบนี้ ซ้ำไปอีก สัก 4 รอบ 

ให้เรามองดูแล้วว่า เออมันเงาว่ะ คำเตือน อย่าพ่นเยอะมากเกินไป สีของแลกเกอร์เวลาแห้งแล้วมันจะเหลือง 

พ่นเสร็จแล้ว เงาพอใจแล้ว ทิ้งให้แลคเกอร์แห้งสัก 2 วัน แล้วค่อยนำมาประกอบเป็นรถ เหมือนเดิม 



เห็นมั้ยล่ะครับ ง่ายๆแค่นี้เอง คุณก็ทำได้ นำไปลองปรับปรุงใช้งานตามสไตล์ตัวเองดูครับ 

ด้านบน หลังจากทำเสร็จครับ ภาพอาจจะเบลอๆไปบ้าง กล้องมือถือน่ะครับ 

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทความและวิธีการ(ดริฟท์) เท้ๆๆ อยากบอกไคร





การdrift(ดริฟท์) หมายถึง ความต่างของมุมการไถลระหว่างยางหน้าและหลังของรถ เมื่อล้อหลังลื่นไถลด้วยมุมที่มากกว่าล้อหน้า นั่นคือรถกำลังดริฟท์อยู่ หรือคือการโอเวอร์สเตียร์ ด้านท้ายของรถจะกวาดออกตลอดโค้ง คนขับจะใช้ประโยชน์จากยางหน้าและหลัง เพื่อควบคุมรถให้ไปในทิศทางที่ต้องการ ยิ่งเดินคันเร่งก็จะยิ่งเพิ่มมุมการไถลของล้อหลังทำให้ท้ายยิ่งกวาดจนแทบจะหมุนเลยทีเดียว ประเด็นก็คือเพื่อให้คนขับสามารถใช้พวงมาลัยและคันเร่งในการทำให้มุมของรถและทิศทางที่รถกำลังมุ่งไปสมดุลกัน

การดริฟท์

การดริฟท์คือสไตล์การขับที่ต้องทำโอเวอร์สเตียร์เข้าหาโค้ง และผ่านโค้งนั้นไป โดยปกตินั้นจะสามารถทำได้ด้วยรถที่เป็นระบบขับเคลื่อนด้วยล้อหลัง เพราะลักษณะการถ่ายกำลังและการถ่ายเทน้ำหนักของมัน เหมาะสมสุด ๆ สำหรับการนี้โดยเฉพาะ การดริฟท์อาจจะใช้เพื่อความสนุก ซึ่งมีจุดประสงค์ที่ว่าผสมผสานระหว่างความสนุกกับการเสริมทักษะในการควบคุมรถ หรือใช้ในการแข่งก็ได้ การแข่งดริฟท์ เป็นการแข่งที่ดูจากสไตล์มากกว่าความเร็วที่วิ่งได้ต่อรอบ หรือ ตำแหน่งตอนเข้าเส้นชัย เกณฑ์การตัดสินหลัก ๆ จะขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยได้แก่ 1. มุมการเข้าโค้ง 2. ไลน์ 3. ความเร็ว 4. ลูกเล่นหรือสไตล์

การดริฟท์ไม่ใช่วิธีที่ทำให้ไปได้เร็วที่สุดในสนามแข่ง แต่การดริฟท์จะมีประโยชน์มากอย่างเช่นในการแข่งแรลลี่ แต่ในการแข่งเซอร์กิตนั้น การดริฟท์จะทำให้รถไปได้ช้ากว่าการใช้เทคนิคธรรมดา

ประวัติ

การดริฟท์มีต้นกำเนิดมาจากพวกนักแข่งตามถนนบนภูเขาแถบชนบทของประเทศญี่ปุ่น เป็นการแข่งบนถนนบนภูเขา (เรียกว่า โทเกะ) จนในที่สุดก็พัฒนามาเป็นรายการแข่งที่ต้องใช้ทุน และการโฆษณาต่าง ๆ ซึ่งได้รับการสนับสนุนและอนุมัติโดยองกรณ์ และจัดแข่งตามสนามแข่งเอกชนต่าง ๆ การดริฟท์ในสหรัฐอเมริกาเริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1996 ซึ่งเป็นรายการแข่งที่จัด ณ สนามแข่ง Willow Springs, California จัดขึ้นโดย นิตรยสาร Option แต่มันก็ไม่ได้รับความนิยมจนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 2002 นักดริฟท์ชาวญี่ปุ่นก็ยังคงถือว่าเป็นผู้นำในด้านเทคนิค และการปรับปรุงรถ แต่พวกอเมริกันเองก็พัฒนาตัวเองและตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ตามข่าวลือนั้น Keiichi Tsuchiya เมื่อตอนแข่งรถอยู่ และอยู่ในอันดับรั้งท้าย เขาตัดสินใจที่จะเหวี่ยงรถผ่านโค้ง ทำให้เหล่าฝูงชนรู้สึกตกตะลึงและรู้สึกประหลาดใจไปตาม ๆ กัน ภายหลัง Tsuchiya เรียกมันว่า การดริฟท์ในขณะที่นี่อาจไม่ใช่ต้นกำเนิดของมัน แต่มันก็เป็นที่มาของชื่อและการแสดงให้คนอื่นเห็นเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1977 Keiichi เริ่มต้นอาชีพการแข่งของเค้าด้วยการขับรถหลายคัน ในการแข่งระดับมือสมัครเล่นรายการต่าง ๆ การแข่งในรถที่ไม่ค่อยมีกำลังแบบนี้ค่อนข้างยาก แต่ก็ทำให้ได้ประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี ต่อมา Keiichi ก็มีโอกาสได้ขับรถ Toyota AE86 Sprinter Trueno ซึ่งมีสปอนเซอร์หลักคือ ADVAN ในหลาย ๆ การแข่ง ในขณะที่เข้าโค้งขาลง เขาจะดริฟท์รถของเค้า และทำให้ได้ความเร็วขณะเข้าโค้งมากกว่าคู่แข่งคนอื่น ๆ ของเค้า เทคนิคนี้ ทำให้เค้าได้รับการขนานนามว่าเป็น Drift King ไม่ใช่เพราะอย่างที่หลายคนเข้าใจว่าเค้าเป็นคนแรกที่ดริฟท์

หลาย ๆ เทคนิคซึ่งใช้กันในปัจจุบันในการดริฟท์นั้นถูกพัฒนาขึ้นโดยเหล่านักแข่งแรลลี่บนทางวิบาก ทางฝุ่น หรือแม้แต่บนหิมะ บนพื้นผิวถนนเช่นนั้น วิธีที่จะเข้าโค้งได้เร็วที่สุดก็คือการสไลด์

ณ ปัจจุบัน

ในปัจจุบันนี้ การดริฟท์ได้มีวิวัฒนาการจนกลายเป็นกีฬา ซึ่งนักขับต้องแข่งกันในรถที่มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง เพื่อสไลด์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในการแข่งระดับสูง โดยเฉพาะการแข่ง D1 Grand Prix ในประเทศญี่ปุ่น ในสหราชอาณาจักร และในสหรัฐอเมริกา นักขับสามารถที่จะทำให้รถของเค้าสไลด์อยู่ได้นาน และสไลด์ผ่านโค้งหลาย ๆ โค้งติด ๆ กันได้ การแข่งดริฟท์นั้นไม่ได้ตัดสินจากการที่ดูว่าใช้เวลาเท่าไหร่ในการวิ่งวนครบรอบสนาม แต่ดูจากการเข้าไลน์ มุม ความเร็ว และปัจจัยในการแสดง ไลน์ เกี่ยวกับการเข้าให้ถูกไลน์ ซึ่งโดยปกติจะถูกกำหนดและบอกไว้ก่อนโดยกรรมการ มุม คือมุมของรถในตอนดริฟท์ ยิ่งมากยิ่งดี ความเร็ว คือความเร็วตอนเข้าโค้ง ตอนผ่านโค้ง และตอนออกจากโค้งไปแล้ว ยิ่งเร็วยิ่งดี ปัจจัยการแสดงนั้นขึ้นอยู่กับหลาย ๆ อย่าง เช่น จำนวนของควันยาง รถเฉียดกำแพงมากขนาดไหน มันขึ้นอยู่กับว่าทุกอย่างดู เจ๋งขนาดไหน ในรอบสุดท้ายของการแข่งมักจะเป็นการแข่งของรถดริฟท์สองคันซึ่งเรียกเล่น ๆ กันว่า “tsuiso” (การวิ่งไล่กัน) ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งคือการที่รถคันนึงไล่รถอีกคันนึงในสนาม เพื่อพยายามที่จะไล่ให้ทัน หรือแม้แต่แซงรถคันข้างหน้า ในรอบ tsuiso นี้ มันไม่เกี่ยวกับไลน์ในการดริฟท์ แต่ขึ้นอยู่กับว่านักดริฟท์คนไหนดริฟท์ได้น่าตื่นตาตื่นใจมากกว่ากัน โดยปกติแล้ว รถคันที่นำ จะทำมุมการดริฟท์แบบสุด ๆ แต่ก็ยังหัวชิดโค้งอยู่เพื่อบังกันไม่ให้โดนแซง รถคันที่ตามโดยปกติจะดริฟท์ด้วยมุมที่น้อย ๆ แต่จะใกล้กับคันหน้ามาก ๆ รถไม่จำเป็นต้องตามให้ทัน และในความเป็นจริงแล้วในบางกรณี รถที่ถูกทิ้งในทางตรงหากดริฟท์สวยก็จะชนะในรอบนั้นไปเลย การหมุน การอันเดอร์สเตียร์ หรือการชนกันนั้นจะส่งผลให้ตกรอบนั้นไปเลย

รถ

รถขับเคลื่อนล้อหลังคันไหนก็ดริฟท์ได้ (แต่จะดีกว่าหากมี limited-slip differential) และรถขับเคลื่อสี่ล้อบางคันก็ดริฟท์ได้ โดยส่วนมากแล้ว จะดริฟท์ด้วยมุมที่น้อยกว่า แต่จะเข้าเร็วกว่า รถที่ใช้แข่งที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกาได้แก่ Nissan 240SX (เป็นเวอร์ชั่นที่ใช้เรียกในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นก็คือ Nissan Silvia นั่นเอง), Nissan 350Z, Toyota Corolla GT-S, Mazda RX-7 และ Honda S2000 เมื่อเร็ว ๆ นี้ พวกที่ชอบรถผลิตภายในประเทศ (สหรัฐอเมริกา) ก็มาลงแข่งด้วยรถอย่าง Ford Mustang, Pontiac GTO และ Dodge Viper ในประเทศญี่ปุ่นนั้น รถดริฟท์ระดับท๊อปได้แก่พวก S13, S14 และ S15, Toyota AE86 Sprinter Trueno และ Corolla Levin, Nissan Skyline (ตัวขับเคลื่อนล้อหลังอย่าง ER34 ซึ่งเป็นรถ 4 ประตูและในรุ่นก่อนหน้านี้อย่าง HCR32), Mazda RX-7 ทั้งตัว FC และ FD, Toyota Altezza, Toyota Aristo, Nissan Z33 Fairlady Z, Nissan Cefiro, Nissan Laurel, Toyota Soarer และเหล่ารถที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด

และก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ในเรื่องที่ว่ารถขับเคลื่อนล้อหน้าดริฟท์ได้หรือไม่ โดยนิยามทางเทคนิคแล้ว (ล้อหลังลื่นไถลในมุมที่มากกว่าล้อหน้า) มันดริฟท์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนเห็นว่า รถขับเคลื่อนล้อหน้า เป็นตัวเลือกที่ไม่ดีสำหรับการดริฟท์ เพราะการที่ต้องใช้เบรกมือบ่อย (ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการจะดริฟท์รถขับเคลื่อนล้อหน้า) ซึ่งทำให้มันวิ่งช้าลงและยากต่อการควบคุม รวมถึงเพราะการที่มันล้อหน้าเพื่อทั้งการเลี้ยวและขับเคลื่อน การที่รถหลุดจากการควบคุมหลังจากการสไลด์เพียงครั้งเดียว ในขณะที่รถขับเคลื่อนล้อหลังสามารถที่จะดริฟท์ผ่านโค้งที่ต่อเนื่องได้ หากมองกันในมุมนี้ และนี่คือนิยามของการดริฟท์แล้วล่ะก็ รถขับเคลื่อนล้อหน้าไม่สามารถที่จะดริฟท์ได้ ได้แค่การทำพาวเวอร์สไลด์ แต่อย่างไรก็ตาม นักดริฟท์บางคน เช่น Kyle Arai หรือ Keisuke Hatakeyama ใช้รถ Civic EF ในการดริฟท์ และก็ประสบความสำเร็จในการทำเช่นนั้นด้วย บางครั้งก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังด้วย

รถขับเคลื่อน 4 ล้อ เช่น Subaru Impreza WRX STi และ Mitsubishi Lancer Evolution นั้น ดริฟท์ด้วยมุมที่ต่างออกไป และโดยปกติจะทำโดยการ power-over เพราะการที่ล้อหน้าของมันเป็นล้อขับเคลื่อนด้วยในรถขับเคลื่อน 4 ล้อ จึงเป็นที่สังเกตได้ง่ายว่า มันจะใช้การ counter steer น้อย การแข่ง D1 และ การแข่งระดับมืออาชีพรายการอื่น ๆ ไม่อนุญาตให้รถขับเคลื่อน 4 ล้อลงแข่ง แต่อย่างไรก็ตาม รถอย่าง Impreza และ Lancer ก็ถูกแปลงให้เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังและก็สามารถลงแข่งในรายการที่ห้ามรถขับเคลื่อน 4 ล้อลงแข่งได้

การกีฬา

ของแต่งหลายชิ้นจากหลายสำนักแต่งที่มีขายนั้น ก็มีประเภทที่ว่าได้รับการออกแบบมาสำหรับการโมดิฟายรถดริฟท์โดยเฉพาะเช่นกัน นักแข่งเกือบจะทั้งหมด อาศัยของแต่งเหล่านี้เพื่อปรับปรุงระบบช่วงล่าง ระบบขับเคลื่อน แชสซี และตัวถังรถของพวกเค้า

รายการแข่งดริฟท์ที่สำคัญมากที่สุดในโลกได้แก่รายการ Autobacs D1 Grand Prix ซึ่งมีต้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่น ณ สนามแข่ง Ebisu เมื่อขยายครอบคลุมทั่วประเทศญี่ปุ่นแล้ว D1 Grand Prix ณ ตอนนี้ก็มีการจัดแข่งแมทช์แข่งระหว่าง ญี่ปุ่น ปะทะ สหรัฐอเมริกาขึ้นด้วยที่สนาม Irwindale Speedway ใน California และอีกรายการที่สนาม Silverstone Circuit และวางแผนที่จะบุกตลาดในส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชียด้วย นิตรยสาร Option ร่วมกับแผนกวิดีโอ V-Option ได้ตัดสินใจสร้างการแข่ง D1 Grand Prix ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความคลั่งไคล้ในการดริฟท์ที่กำลังขยายตัว นำโดยประธาน CEO Daijiro Inada พวกเขาพยายามกันสุดความสามารถเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุด ในปี ค.ศ. 2006 ทาง D1 จะนำการแข่งเข้าสู่สหราชอาณาจักร ด้วยการให้โอกาสนำนักแข่ง 5 อันดับแรก มาแข่งทั้งในสหราชอาณาจักรและในญี่ปุ่น

เทคนิคการดริฟท์

มันมีหลายวิธีเพื่อที่จะดริฟท์ ซึ่งได้แก่ (หมายเหตุ : ควรปิดระบบ ABS และ TCS ก่อน เพราะระบบเหล่านี้ถูกสร้างมาเพื่อกันไม่ให้รถเกิดการสไลด์)

-Braking Drift- การดริฟท์ชนิดนี้ทำได้โดยการ เหยียบเบรกอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่โค้ง เพื่อที่ว่าจะได้ทำให้รถนั้นสามารถถ่ายน้ำหนักและทำให้ล้อหลังสูญเสียแรงยึดเกาะ จากนั้นก็ควบคุมการดริฟท์ด้วยพวงมาลัยและคันเร่ง การปรับอัตราการจับของเบรกก็ช่วยในการดริฟท์ได้ ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การขับของแต่ล่ะคน โดยปกติแล้ว หากอัตราการจับของเบรกค่อนไปทางล้อหลังจะช่วยให้เกิดการดริฟท์ได้ดีกว่า

-Power Over Drift- การดริฟท์ชนิดนี้ทำได้โดยการ เข้าโค้งทั้ง ๆ ที่เหยียบคันเร่งเต็มที่ก่อให้เกิดการโอเวอร์สเตียร์เมื่อถึงโค้ง มันเป็นวิธีดริฟท์โดยทั่วไปสำหรับพวกรถขับเคลื่อน 4 ล้อ (ได้ผลดีกว่ารถขับเคลื่อนล้อหลัง) Keiichi Tsuchiya เคยบอกว่าเค้าก็เคยใช้เทคนิคนี้เมื่อตอนที่เค้ายังหนุ่ม และกลัวที่จะดริฟท์เมื่อถึงโค้ง แต่อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้จะก่อให้เกิดอาการล้อฟรีทิ้งมากกว่าการดริฟท์หากเข้าด้วยมุมที่ผิด

-Inertia (Feint) Drift- เทคนิคนี้สามารถทำได้โดยการโยกรถไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโค้งและหลังจากนั้นก็อาศัยแรงเฉื่อยของรถ เพื่อเหวี่ยงรถกลับมาในทิศทางของโค้ง จากการที่เราหักหัวออกนอกโค้ง และหักกลับมาอย่างเร็ว คุณก็จะได้มุมที่ดีกว่า ในบางครั้ง การเบรกระหว่างที่เหวี่ยงรถไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโค้งนั้นก็ช่วยในเรื่องของการถ่ายเทน้ำหนักเช่นกัน และจะทำให้เข้าโค้งได้ดีกว่าเดิมอีก นักดริฟท์มืออาชีพหลายคนกล่าวไว้ว่า นี่เป็นหนึ่งในเทคนิคทำได้ยากที่สุด เนื่องจากมีโอกาสหมุนสูง

-Handbrake/ebrake Drift- เทคนิคนี้ค่อนข้างจะง่าย ดึงเบรกมือเพื่อให้ด้านหลังสูญเสียแรงยึดเกาะและควบคุมการดริฟท์ด้วยพวงมาลัยและการเดินคันเร่ง มีบางคนถกเถียงกันในเรื่องนี้ว่าการใช้เบรกมือนั้น ก่อให้เกิดการดริฟท์ หรือเป็นเพียงแค่พาวเวอร์สไลด์ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว การใช้เบรกมือก็ไม่ต่างจากเทคนิคอื่น ๆ เพื่อดริฟท์ โดยทั่วไปแล้วนี่เป็นเทคนิคหลักสำหรับการดริฟท์รถขับเคลื่อนล้อหน้า นี่เป็นเทคนิคแรกที่มือใหม่จะใช้หากรถของเค้าไม่มีแรงกำลังมากพอที่จะทำให้รถสูญเสียแรงยึดเกาะด้วยเทคนิคอื่น ๆ และเทคนิคนี้ก็ใช้กันอย่างมากในการแข่งดริฟท์เพื่อดริฟท์ในโค้งกว้าง

-Dirt Drop Drift- เทคนิคนี้ทำได้โดยการให้ล้อหลังของรถตกลงไปข้างทางที่เป็นดินเพื่อรักษาหรือเพื่อให้ได้มุมการดริฟท์โดยไม่สูญเสียกำลังหรือความเร็ว และเพื่อที่จะเตรียมสำหรับโค้งต่อไป เทคนิคนี้ใช้ได้เฉพาะกับถนนที่ไม่มีแผงกั้นและมีดินหรือฝุ่นหรืออะไรอย่างอื่นที่ทำให้สามารถสูญเสียแรงยึดเกาะได้ นี่เป็นเทคนิคที่ใช้กันโดยทั่วไปในการแข่งแรลลี่ WRC

-Clutch Kick- เทคนิคนี้ทำได้โดยการเบิ้ลคลัทช์ (การเหยียบและปล่อย ปกตจะกระทำมากกว่า 1 ครั้งในการดริฟท์เพื่อการแต่งโค้งด้วยความรวดเร็ว) เพื่อให้แรงขับเคลื่อนเกิดการสะดุด ทำให้รถเสียสมดุล มันทำให้ล้อหลังเกิดอาการลื่นไถลและทำให้คนขับสามารถก่ออาการโอเวอร์สเตียร์ได้

-Choku Dori- นี่เป็นเทคนิคขั้นสูงซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้หนี่งในเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อเริ่มการดริฟท์ จากนั้นก็ใช้เบรกมือเพื่อการยืดการดริฟท์ในโค้ง

-Changing Side Swing- เทคนิคนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในการแข่ง D1 ในญี่ปุ่น และมีความคล้ายคลึงกับ Inertia (Feint) Drift เป็นอย่างมาก ส่วนมากมันจะถูกใช้ในตอนที่จะดริฟท์โค้งแรก ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นโค้ง Double Apex และอยู่ต่อจากทางตรงยาว หากทางตรงยาวที่อยู่ก่อนโค้ง Double Apex นั้นมีลักษณะเป็นทางลง นักขับจะขับชิดขอบสนามด้านในโค้ง จากนั้น ด้วยการกะจังหวะที่ถูกต้อง นักขับจะเหวี่ยงหักรถไปอีกด้านนึงทันที การทำแบบนี้ ทำให้โมเมนตัมของรถเปลี่ยนไป ทำให้ล้อหลังสูญเสียแรงยึดเกาะ ตอนนี้รถอยู่ในช่วงดริฟท์แล้ว หลังจากนั้นก็ดริฟท์อย่างต่อเนื่องไปจนผ่านโค้ง

-Manji Drift- เทคนิคนี้ใช้ตอนดริฟท์บนทางตรง ผู้ขับจะเหวี่ยงรถสลับข้างไปมาระหว่างดริฟท์ ซึ่งดูน่าทึ่งมาก มันสามารถใช้เป็นเทคนิคนำก่อนจะใช้เทคนิคต่อ ๆ ไปในข้างต้นก็ได้

-Dynamic Drift- เทคนิคนี้จะคล้าย ๆ กับ Choku Dori มันใช้รูปแบบของเทคนิคด้านบนทั้งหมด และไม่จำกัดเพียงแค่ 1 เทคนิค นำมารวมกันเพื่อให้ได้การดริฟท์ที่วางเอาไว้

ข้อเท็จจริงน่ารู้

-สำหรับนักขับชาวญี่ปุ่นที่ต้องการเข้าถึง D1 พวกเขาจะต้องผ่านหนึ่งในรายการของ Option ให้ได้ซะก่อน “Ikaten” นี่คือที่ที่เหล่ามือสมัครเล่นจะมาพิสูจน์ฝีมือตัวเองเพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของ D1 หากพวกเขาได้รับการคัดเลือก พวกเขาจะได้รับ “D1 License” ซึ่งทำให้พวกเขามีโอกาสเข้าสู่รอบคัดเลือกของ D1 ประเทศอื่นที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นค่อนข้างจะได้รับสิทธิพิเศษหน่อยตรงที่แค่ไปงาน “Driver’s Search” เพื่อที่จะได้ D1 License

-Kumakubo เป็นเจ้าของสนาม Ebisu ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม D1 มีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น และก็เป็นอีกเหตุผลที่ว่าทำไม Kumakubo ถึงขับได้ดีในรอบ Tsuiso

-คุณอาจเคยสังเกตเห็นคำว่า “Big X” บนฝากระโปรงรถของ Kumakubo Big X คืองานโชว์กลางแจ้งที่รวมเอาการโชว์ดริฟท์ โมโตครอส และกีฬา Xtreme อื่น ๆ รวมไว้ด้วยกัน โดยนำเอาระดับท๊อป ๆ ของแต่ละแขนงมารวมตัวกัน

-กลุ่มดริฟท์ของ Big X มีชื่อเรียกว่า Drift Xtreme ซึ่งนักแข่งชั้นนำของ D1 จะถูกเชิญให้เข้าร่วมเมื่อเค้าเริ่มเป็นที่รู้จัก คุณจะเห็นสติ๊กเกอร์ Drift Xtreme บนรถ D1 หลายคัน ยกตัวอย่างเช่น Nobushige Kumakubo, Nomura Ken, Kazama Yasuyuki, Miki Ryuji, Kazuhiro Tanaka, และ Yuki “Dirt” Izumida

-Taniguchi Nobuteru ขับรถมาสี่คันแล้วกับ HKS ในการแข่ง D1 ก็มี RS1 Hyper Silvia S15 (ซึ่ง Keiichi Tsuchiya เอาไปมิดมา อาจมีคนเคยเห็นคลิปนี้แล้ว) และ RS2 Hyper Silvia S15 อีกสองคัน (คันนึงจาก HKS Power Japan อีกคันจาก HKS Europe) และคันสุดท้าย Genki RP Atltezza ซึ่งถูกออกแบบให้ไม่มีของแต่งต้นแบบหรือของแต่งตัวทดลองของ HKS เลย เพื่อจุดประสงค์ที่ว่า นักดริฟท์ทั่วไป สามารถแต่งตามแบบรถคันนี้ได้ (แต่ในขณะที่แปลบทความนี้ รู้สึกเค้าจะมีรถใหม่อีกคันแล้ว เป็น Toyota Aristo สีแดง)

-นักแข่ง D1 หลายคนดังมากทั้งในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และมักจะมีอีกอาชีพทำอยู่ในการแข่ง Super GT หรือ Super Taikyu เช่น Manabu Orido และ Taniguchi Nobuteru เป็นต้น และ Keiichi Tsuchiya เอง ก็ทำงานเป็นผู้จัดการให้กับทีมในการแข่ง Super GT ด้วย

-สำหรับการแข่ง Super GT Manabu Orido ขับ Advan Eclipse Supra ในคลาส GT500 Nobuteru Taniguchi ขับ WEDSSPORT Celica ในคลาส GT300 ทั้งคู่อยู่ในทีมเดียวกันในการแข่ง Super Taikyu และขับ Porsche GT3 สำหรับ Keiichi Tsuchiya นั้นเคยขับ Arta NSX ในคลาส GT500 แต่ปัจจุบันเป็นผู้จัดการให้กับ Super Autobacs Garaiya ในคลาส GT300

-นักขับของทีม RE Amemiya, Masao Suenaga ได้ถูกเลือกโดยตัวของ Isami Amemiya เองเลยเพื่อให้มาขับ FD สีฟ้าคันนั้น เค้ามี Kumakubo เป็นอาจารย์ เช่นเดียวกับพี่/น้อง ของเค้า Naoto Suenaga ซึ่งก็มี D1 License เหมือนกัน

-หลายคนเคยถามว่าทำไมลายไวนิลหรือสติกเกอร์บนด้านข้างของรถนั้น ติดแบบกลับด้านจากซ้ายไปขวา นี่ไม่เกี่ยวกับความมักง่ายของผู้ผลิตหรือกฎใด ๆ มันเป็นเรื่องของสไตล์มากกว่า

-ถนนบนภูเขาบางเส้นเช่นบนภูเขา Haruna (ภูเขา Akina นั่นแหละ) มีเส้นดักความเร็วขนาดใหญ่บนถนน เนินเหล่านี้มีขึ้นเพื่อกันการแข่งกันบนภูเขา โดยปกติมันจะอยู่ตรงช่วงก่อนเข้าและออกจากโค้ง เช่น ตรงโค้งแฮร์พินติดกัน 5 โค้งรวดบน Haruna ในระยะหลังนี้ การป้องกันต่าง ๆ มีขึ้นเพื่อป้องกันการแข่งกันบนภูเขา นี่รวมถึงการขยายรั้วกั้นด้วยเพื่อป้องกันไอ้พวกบ้าการ์ตูนบางคนกระโดดตัดโค้งบนเนินอิโรฮะตามแบบในการ์ตูนเรื่อง Initial D ตอนทาคุมิแข่งกับ MR2

-ในประเทศออสเตรเลียเองนั้นการดริฟท์มีต้นกำเนิดมาจากทางแถบภูเขาทางใต้ของออสเตรเลีย โดยการรับวัฒนธรรมมาจากญี่ปุ่นเมื่อยุคทศวรรษที่ 90 Adelaide ยังคงเป็นที่รู้จักกันในนาม “the Home of Aussie drift”

เทคนิคการ Drift และหลักทักษะต่างๆ

การปรับตั้งรถเพื่อการดริฟท์ ขั้นต้น

1. ช็อคอัพฯ คู่หน้า แบบมีบอลจ๊อยท์ เพื่อปรับตั้งให้มุมล้อหน้าแบะออก หรือ แคมเบอร์เป็นลบ เพิ่มเพิ่มความยึดเกาะของล้อคู่หน้าให้มากกว่าคู่หลังโดยเฉพาะในโค้ง ซึ่งการปรับเช่นนี้จะช่วยให้การควบคุมรถผ่านโค้งไปง่ายขึ้น ส่วนล้อหลังพยายามให้มุมแคมเบอร์เป็นกลางให้มากที่สุด เพื่อที่จะทำให้ท้ายกวาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการแบะของล้อที่มีน้อยกว่าล้อหน้า

2. ช็อคอัพฯควรมีลักษณะ แข็งและหนึบ พวกแข็งแบบเด้งๆแบบช็อคอัพฯตัดแกนอัดน้ำมัน ตัดสปริง ใช้ไม่ได้ อันตราย

3. เฟืองท้าย แบบ ลิมิเต็ด สลิป ดิฟเฟอเรนเชียล หรือ L.S.D. ( Limited Slip Differential) ภาษาชาวบ้านเรียก เต็ด ขั้นต้นใช้เฟืองท้ายลิมิเต็ดฯ ที่ติดมากับโรงงานก็เพียงพอ เช่นของนิสสันสกายไลน์ หรือ ซิลเวีย สำหรับรถนิสสัน ส่วนโตโยต้า ก็จะมีของติดรถอยู่แต่จะหายากกว่าของนิสสัน สำหรับ เฟืองท้ายลิมิเต็ดของแต่งนั้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีฝีมือขึ้นไปอีกระดับแล้ว
การดริฟท์โดยปราศจากเฟืองท้าย ลิมิเต็ดฯ นั้น จะทำให้การดริฟท์ยากขึ้น เนื่องจากเฟืองท้าย ลิมิเต็ดฯจะทำให้ล้อทั้ง 2 ข้าง ปั่นออกมาพร้อมๆกัน ช่วยให้รถนั้นนิ่งกว่าในขณะการดริฟท์ เมื่อเทียบกับเฟืองท้ายแบบธรรมดา เพราะเฟืองท้ายแบบธรรมดา ล้อจะหมุนแค่ข้างเดียวและลากล้ออีกข้างไปด้วย ซึ่งทำให้เสียกำลังไป


เทคนิคต่างๆที่ใช้ในการดริฟท์


Kansei Drift เทคนิคนี้จะใช้เมื่อการแข่งความเร็วกัน ขณะที่เข้าโค้งมาด้วยความเร็ว คนขับจะยกคันเร่งขึ้นในขณะที่ค่อยๆเลี้ยวเข้าโค้งเพื่อให้เกิดอาการท้ายกวดอย่างนุ่มนวล และจากนั้น ก็คุมการดริฟท์โดยใช้ พวงมาลัย เบรก และ คันเร่ง

Braking Drift ทำโดยการเบรคก่อนเริ่มเข้าโค้ง เบรคจนรถเริ่มสูญเสียการยึดเกาะและจากนั้นก็คุมรถผ่านพวงมาลัยและการคุมคันเร่ง

Faint Drift คือการดริฟท์โดยอาศัยแรงเหวี่ยงของตัวรถ

Clutch Kick เป็นการใช้ครัชเมื่อเข้าถึงไลน์ดริฟท์ หรือขณะ เริ่มดริฟท์ เป็นการเบิ้ลครัชเพื่อเรียกกำลังเมื่อแรงเริ่มตกหรือเข้าด้วยความเร็วต่ำ

Shift Lock เป็นการลดเกียร์ต่ำลงขณะเข้าไลน์ดริฟท์ เพื่อให้ล้อหลังเกิดแรงหนีแรงเสียดทานขึ้นมาทำให้ท้ายกวาด

Side Brake Drift เป็นเทคนิคขั้นต้นเลยของการดริฟท์ คือการใช้เบรคมือเพื่อให้ล้อหลังสูญเสียการยึดเกาะโดยทำควบคู่ไปกับการคุมคันเร่งและพวงมาลัย

Dirt Drop Drift คือการใช้ล้อหลังให้ออกไปนอกแทรค ที่จะลื่นกว่าถนนบนแทรค เพื่อล้อหลังเกิดการหมุนฟรีได้ง่ายขึ้น เหมาะกับรถที่แรงม้าน้อย

Choku Dori เป็นการใช้เบรคมือในทางตรงเป็นระยะทางยาว ก่อนเข้าดริฟท์เพื่อที่จะใช้มุมดริฟท์ที่กว้างขึ้น เป็นวิธีที่ใช้ในการดริฟท์ความเร็วสูง

Power Over เป็นการใช้คันเร่งส่งเมื่อเข้าโค้งให้ท้ายกวาดออก และใช้คันเร่งส่งตลอดโค้งเพื่อให้ล้อหลังสไลด์ออกตลอดโค้ง วิธีนี้รถต้องมีแรงม้ามาก

Manji เป็นการสะบัดรถเพื่อดริฟท์ทางตรง ท้ายจะปัด ซ้าย-ขวา ซ้าย-ขวา ในทางตรง เรียกอีกอย่างว่า Yaw-Drfiting
** คำเตือน อุบัติเหตุ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ควร ขับรถไม่ประมาท จะดีที่สุดครับ **  ด้วยความเป็นห่วง .... ^^

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การแต่งรถแบบคนมีเงิน





เราไม่มีสิทธิ์ห้ามให้ใครแต่งรถในสไตล์ใด เนื่องจากไม่มี ''สิทธิ์'' นั่นจริง แต่เราแค่อยากกระตุ้นเตือน ! เพราะใครๆ ก็มี ''สิทธิ์'' ตกแต่งรถตัวเองตามความชอบ ทั้งโดยตั้งใจจริงหรือเพื่อตามกระแสสังคมแต่งรถในช่วงนั้น
        การเลือกล้อแม็กหรือใส่อแดปเตอร์ทำให้ล้อและยางล้นออกมานอกตัวถังรถ มีความนิยมมานานกว่า 20 ปีแล้ว บางช่วงนิยมมากหน่อย บางช่วงซาลงหรือห่างหายไปนาน แต่ในปี 2012-2013 ดูเหมือนกระแสจะกลับมาอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะรถขนาดเล็กหรืออีโคคาร์ ทำกัน-แต่งกันตามกระแส อาจเพราะหลายคนคิดว่าเท่ ! ทั้งที่การแต่งรถล้อล้นมีแต่เสียกับ...เสีย
   การแต่งรถย่อมต้องอยากให้สวยทั้งตัวเองและคนในสังคมมองว่าสวย ไม่ใช่แค่สร้างความสนใจแล้วคนด่าลับหลังหรือไล่หลัง รวมถึงไม่ใช่มองสวยคนเดียว (เฉพาะเจ้าของรถ) แต่คนอื่นไม่ได้เห็นสวยด้วย ทั้งอาจเหยียดหยามว่าเสียทั้งเงิน-เสียทั้งรถ หรือแต่งรถเป็นหรือเปล่า ?
หากยังงงให้ลองนึกถึงการแต่งตัวของคนเราที่อยากให้ผู้อื่นชื่นชมด้วย ไม่ใช่แค่ให้คนสนใจ หากคิดว่าสวยคนเดียวก็พอ สมมุติว่าตัวเองชอบคิดว่าสวย โดยใส่กางเกงแดงเสื้อเขียวรองเท้าเหลืองเสื้อแขนเดียว ผู้คนสะดุดสายตาให้ความสนใจก็จริง แต่ชื่นชม การแต่งรถล้อล้น อาจมาจากแนวคิดว่ารถแข่งล้อโต-ยางกว้าง เพราะรถเหล่านั้นต้องเน้นการยึดเกาะให้สูงที่สุด ล้อกว้างก็ล้นออกมา แต่ยังไม่จบ ! เพราะรถแข่งเหล่านั้นถูกกติกาควบคุมให้ต้องทำโป่งตัวถังบานกว้างออกมา เพื่อคลุมให้ล้ออยู่ในแนวบังโคลนใหม่ ไม่ใช่ล้นแบบเปลือยๆ
นอกจากความแตกต่างเรื่องล้อล้นแบบเปลือยในกระแสนิยมแล้ว ยังแตกต่างเรื่องความกว้างจริงของล้อและยาง พวกรถแข่งล้อและยางกว้างจริง ส่วนรถแต่งกว้างแค่พอสมควร แต่ไม่ได้กว้างมากจริงจนล้น มักล้นเพราะระยะออฟเซตผิดหรือใส่สเปเซอร์รอง มองจากหน้าหรือท้ายรถเข้าไปก็เหมือนคนขาถ่าง เท้าเล็กๆ ไม่ได้ล้นด้วยความกว้างจริงของล้อ

  นอกจากรถแข่งล้อล้นแล้วมีโป่งใหม่คลุมแบบไม่ได้เปลือยแล้ว ลองดูซูเปอร์คาร์ทั้งหลาย เช่น เฟอร์รารี, ลัมบอร์กินี, ปอร์เช่ ฯลฯ ส่วนใหญ่ทั้งแต่งและไม่แต่ง ล้อก็กว้างและยางก็กว้างจริงระดับ 300 มม. ก็ไม่เห็นแต่งให้ล้อล้นแต่อย่างใด
รถแข่งก็ล้อไม่ล้น ซูเปอร์คาร์ก็ล้อไม่ล้น แล้วจะอ้างความ ''ดุ'' เพื่อนำมาใช้เป็นสไตล์การแต่งอีโคคาร์ หรือรถทั่วไปได้อย่างไร ?
 ''คางคก'' เป็นความคล้ายในสายตาของบางคน เมื่อเห็นรถท้ายตัดแฮตช์แบ็กหรืออีโคคาร์คันเล็ก ใส่ล้อไม่กว้างจริง แต่ล้นออกมานอกตัวถัง โหลดเตี้ยด้านหลังมากก็ไม่ได้ ท้ายรถก็ดูโก่งๆ เพราะกลัวว่าขอบบังโคลนหลังจะกระแทกกับยางที่ล้น ถ้าอยากให้เตี้ยก็ต้องทำโช้คอัพหรือเสริมยางกันกระแทกให้แข็ง เมื่อรถแล่นก็....เด้งๆๆ ทั้งคนนั่งสะเทือนและรถก็ไม่เกาะ คล้ายคางคกตัวป้อมๆ ขาถ่างๆ วิ่งกระดกๆๆ ไป
สารพัดข้อเสียของการใส่ล้อล้น เช่น
ลูกปืนล้อและช่วงล่างพังเร็ว เสมือนแขนยื่นออกไปไกล
พวงมาลัยมีอาการตอบสนองคล้ายชกมวยมากและง่ายขึ้น
โหลดรถมากตามใจไม่ได้ เพราะยางจะกระแทกกับบังโคลน ต้องทำรถท้ายยกโก่งๆ หรือถ้าทำให้เตี้ยสมใจ จนขอบบังโคลนใกล้กับยาง ก็ต้องทำโช้คอัพ สปริง หรือยางกันกระแทกให้รถแข็งแบบแทบไม่ยุบ
รถไม่เกาะ-คนไส้เลื่อน การทำให้ช่วงล่างแข็งมากๆ เป็นผลทำให้รถไม่เกาะ เด้งๆๆ จนผู้ชายแทบเป็นไส้เลื่อน และหลายคนไม่เข้าใจหลักการง่ายๆ เมื่อทำรถให้ล้อไม่ยุบว่า เมื่อล้อหรือรถอยากขยับยุบ หากทำให้แข็งจนแทบไม่ยุบ หน้ายางมุมนั้นจะแทบไม่เกาะ เพราะเสมือนว่ามุมนั้นรถจะถูกยกลอย ในเมื่ออยากยุบแต่ไม่ยุบ จึงดันลอยขึ้นทั้งมุมรถ ทำให้รถที่เด้งๆ จากการเซตให้แข็งมาก มีการยึดเกาะของยางที่แย่ เสมือนรถจะเด้งๆ ลอยๆ ถี่ๆ สลับกันไปตลอด 




การสะบัดน้ำ-โคลนของล้อล้นๆ รถตัวเองเลอะง่าย และอาจโดนผู้อื่นด้วยแบบเลี่ยงไม่ได้ เพราะล้อที่ล้นย่อมสะบัดน้ำ-โคลนเละเทะ
ตำรวจพร้อมจับ อย่าเพิ่งเถียงว่าไม่เคยโดน เพราะตำรวจพร้อมจับกุมแบบไม่ได้ยัดข้อหา ขึ้นศาลก็แพ้หากล้อล้นอย่างชัดเจน ทั้งดัดแปลงสภาพหรืออาจพ่วงข้อหาทำให้ผู้อื่นเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
บทความนี้ไม่มีสิทธิ์ห้ามให้ใครแต่งรถในสไตล์ใด เนื่องจากไม่มี ''สิทธิ์'' นั้นจริงๆ เพียงแนะนำและกระตุกให้ฉุกคิดว่า การแต่งรถแบบล้อล้น...สวยจริงหรือไม่ ? หรือนิยมเพียงแค่คนกลุ่มเล็กๆ รวมถึงการที่ผู้คนทั่วไปสนใจนั้น เพราะสวยหรือมองแล้วนินทาลับหลัง ? ซูเปอร์คาร์หรือรถแข่งแท้ๆ ก็ไม่เห็นทำล้อล้น รถแต่งต้องโหลดได้จนเตี้ยตามใจ ช่วงล่างยุบตัวได้เต็มที่ นั่งเต็มพิกัดล้อต้องซุกบังโคลนแบบเฉี่ยวๆ ได้
ย้ำอีกครั้ง...หากอยากแต่งรถสไตล์ที่บางคนบอกกว่าคล้าย ''คางคก'' ล้อล้นๆ ถ่างๆ ท้ายโก่งๆ โปรดอ่านอีกครั้งว่า เคยเห็นเฟอร์รารี, ลัมบอร์กินี, ปอร์เช่ หรือรถแข่งดีทีเอ็มล้อล้นไหม ? เราไม่มีสิทธิ์ห้ามให้ใครแต่งรถในสไตล์ใด แค่อยากกระตุ้นเตือน...ให้ฉุกคิดเท่านั้น !  เองคับ วิธีง่ายๆๆ